วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2560


การปฏิรูปศาสนา(The Reformation)

สาเหตุของการปฏิรูปศาสนา

  • เนื่องจากความเป็นอยู่ของสันตะปาปาและพระชั้นสูงบางองค์มีความฟุ่มเฟือยมีการสะสมทรัพย์สมบัติไว้ให้ลูก ขัดต่อความรู้สึกที่ว่าพระควรจะมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายอีกทั้งพระยังเรียกเก็บภาษีสูงขึ้นเพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในคริสตจักรที่กรุงโรม ตลอดจนมีการซื้อขายตำแหน่งกัน ประกอบกับชาวยุโรปศึกษาเล่าเรียนมีความรู้มากขึ้น จึงไม่เชื่อคำสั่งสอนของฝ่ายศาสนจักรงมงาย และเกิดความคิดที่จะปรับปรุงศาสนาให้บริสุทธิ์
  • เนื่องจากสันตะปาปาทรงมีฐานะเป็นเจ้าผู้ปกครองฝ่ายศาสนจักร มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม ได้เข้าไปมรส่วนร่วมทากการเมืองของยุโรป และสันตะปาปาเข้าไปครอบงำ รัฐต่างๆในเยอรมัน ทำให้เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆต้องการเป็นอิสระจากจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และจากผู้ที่รักษาอำนาจของคริสตจักรคือสันตะปาปา
  • การที่ศาสนจักรมุ่งเน้นพิธีกรรมมากจนเกินไป ทำให้ประชาชนบางส่วนต้องการทำความเข้าใจหลักธรรมทางศาสนามากขึ้น จนมีนักคิดเสนอว่ามนุษย์ควรเข้าถึงพระเจ้าและทความเข้าในในคัมภีร์ไบเบิลด้วยตนเองมากกว่าผ่านพิธีกรรมของศาสนจักร
  • สันตะปาปาจูเลียสที่ 2 (Julius II ค.ศ. 1506-1514)และสันตะปาปาลีโอที่10 (Leo X ค.ศ.1514-1521) ต้องการงบประมานในการก่อสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่กรุงโรม จึงส่งสมณะทูตมาขายใบไถ่บาป (Indulgence Certificate) ในดินแดนเยอรมัน ใบยกโทษบาปนี้เป็นอนุโมทนาบัตรแสดงว่าได้ชำระเงินตามกำหนดเพื่อพ้นจากบาป แต่ด้วยภาวะทางสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เกิดกลุ่มต่อต้านคริสตจักรหลายกลุ่มด้วยกัน ทั้งขุนนาง นักคิด และปัญญาชนในเยอรมัน


การเริ่มปฏิรูปศาสนา

          การขายใบยกเลิกบาปในเยอรมันของคริสตจักร ทำให้ มาร์ติน ลูเทอร์ (Martin Luther ค.ศ. 1484 - 1546) นักบวชชาวเยอรมันทำการประท้วงการขายใบไถ่บาปด้วยการปิดประกาศคำประท้วง95 ข้อ (Ninety-Five Theses)หน้ามหาวิหารแห่งเมืองวิทเทนแบร์ก (Wittenberg) โดยลูเทอร์ได้ประกาศว่า สันตะปาปาไม่ควรเก็บภาษีในเยอรมันเพื่อนำไปสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์และสันตะปาปาไม่ได้เป็นบุคคลเพียงผู้เดียวที่จะนำพามนุษย์ไปสู่พระเจ้า ประกาศดังกล่าวถือว่าเป็นการประท้วง (protest) ที่มีต่อศาสนจักรอันเป็นที่มาของนิกายโปรเตสแตนต์ (Protestants) คำประกาศของเขาได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางในเขตเยอรมัน ใน ค.ศ. 1521 มาร์ติน ลูเทอร์ ได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิชาลส์ที่ 5 (Charles V ค.ศ.1519 – 1556) แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ให้ไปเข้าประชุมสภาแห่งเวิร์ม เขาถูกกล่าวหาจากจักรพรรดิว่ามีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อคริสต์ศาสนาและเป็นบุคคลนอกศาสนา แต่เจ้าผู้ครองแคว้นแซกโซนีได้อุปถัมภ์เขาไว้ และเขาแปลคัมภีร์ไบเบิลจากภาษาละตินมาเป็นภาษาเยอรมัน ทำให้ความรู้ทางศาสนาเป็นที่แพร่หลายในหมู่ประชาชนเพิ่มมากขึ้น และเป็นการส่งเสริมการพัฒนาการของวรรณกรรมภาษาเยอรมัน ในช่วงหลังจากนั้น พวกเจ้านายในเยอรมันได้แตกแยกออกเป็นสองฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายเจ้าผู้ครองแคว้นทางเหนือ ซึ่งสนับสนุน มาร์ติน ลูเทอร์ กับฝ่ายเจ้าผู้ครองแคว้นทางใต้ ซึ่งสนับสนุนคริสตจักรโรมันคาทอลิกที่กรุงโรม ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นใน ค.ศ.1546 ในที่สุดก็มีการสงบศึก โดยการทำสนธิสัญญาสันติภาพแห่งเอากส์บูร์ก (Peace of Ausburg) ในค.ศ.1555โดยให้ทางเจ้าชายเยอรมันและแคว้นของพระองค์มีสิทธิ์ที่จะเลิกนับถือนิกายลูเทอร์หรือนิกายโรมันคาทอลิกได้  นิกายลูเทอร์มีหลักปฏิบัติ การดำเนินงาน พิธีกรรมทางศาสนา และลักษณะของนักบวชเป็นแบบคาทอลิก แต่นักบวชในนิกายลูเทอร์เป็นเพียงผู้สอนศาสนาจึงสามารถมีครองครัวได้ นิกายลูเทอร์ยังคงมีการรักษาพิธีกรรมบางข้อไว้ เช่น ศีลจุ่ม และศีลมหาสนิท นิกายนี้มีกรอบความคิดว่าความหลุดพ้นทางวิญญาณของชาวคริสต์จะสามารถมีได้ก็เนื่องจากการยึดมั่นในพระผู้เป็นเจ้าจนพระองค์ทรงเมตตาเท่านั้น

การปฏิรูปของศาสนจักร

          1.ศาสนจักรได้จัดการประชุมสังคายนาพระศาสนาที่เมืองเทรนต์ (The Council of Trent) ใน ค.ศ.1545 การประชุมดังกล่าวใช้เวลาถึง 18 ปี    สิ้นสุดใน ค.ศ.1563 โดยมีบทสรุปดังนี้

  • สันตะปาปาทรงเป็นประมุขของคริสต์ศาสนา
  • การประกาศหลักธรรมทางศาสนาต้องให้ศาสนจักรเป็นผู้ประกาศแก่ศาสนิกชน
  • คัมภีร์ไบเบิลยังต้องเป็นภาษาละติน
  • ยกเลิกการขายใบยกโทษบาปและตำแหน่งทางศาสนา มีการกำหนดระเบียบวินัย    มาตรฐานของการศึกษาของพระ และให้ใช้ภาษาพื้นเมืองในการสอนศาสนา          
          2.ศาสนจักรได้ตั้งศาลศาสนาเพื่อลงโทษพวกนอกศาสนา โดยศาลศาสนาได้พิจารณาความผิดของพวกนอกศาสนาคาทอลิก และชาวคาทอลิกที่มีความคิดเห็นแตกต่างจาก ศาสนจักร ซึ่งมีการลงโทษโดยการเผาคนผิดทั้งเป็น            การต่อต้านการปฏิรูปศาสนาของคริสตจักรที่กรุงโรมกระทำได้ผล คือ นิกายโรมันคาทอลิกสามารถป้องกันไม่ให้ศาสนิกชนโรมันคาทอลิกหันไปนับถือนิกายโปรเตสแตนต์ เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่สามารถดึงศาสนิกชนโปรเตสแตนต์ให้กลับมานับถือนิกายโรมันคาทอลิกได้

ผลของการปฏิรูปศาสนา


  • คริสตจักรตะวันตกได้แตกแยกออกเป็น2นิกาย คือ นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม มีสันตะปาปาเป็นประมุข กับนิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งเป็นนิกายต่างๆ ในประเทศทางภาคเหนือของยุโรป ความเป็นเอกภาพทางศาสนาของยุโรปได้สิ้นสุดลง
  • เกิดกระแสชาตินิยมในประเทศต่างๆเช่น กรณีที่มาร์ติน ลูเทอร์ หนุนให้เจ้าผู้ครองรัฐต่างๆ ในเยอรมันต่อต้านจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่นับถือนิกายคาลวิน    ในเนเธอร์แลนด์ส่วนที่เป็นเจ้าของสเปนต่อต้านกษัตริย์สเปนจะได้รับเอกราช 
  • เกิดการแข่งขันระหว่างนิกายต่างๆการปรับปรุงสิ่งที่บกพร่องเพื่อเรียกศรัทธาและก่อให้เกิดขันติธรรมในการอยู่ร่วมกับผู้นับถือนิกายต่างกัน   
  • สภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป นิกายโปรเตสแตนต์ได้สนับสนุนการประกอบอาชีพด้านการค้าและอุตสาหกรรม ทำให้ระบบทุนนิยมในยุโรปเจริญเติบโต 
  • ระบอบรัฐชาติแข็งแกร่งขึ้น การเกิดนิกายโปรเตสแตนต์ได้ส่งเสริมวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น เช่น การแปลคัมภีร์เป็นภาษาท้องถิ่น และยังส่งเสริมอำนาจของผู้ปกครอง ได้แก่ กษัตริย์ในฐานะตัวแทนของพระเป็นเจ้าในการปกครองประเทศ จึงเท่ากับส่งเสริมระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยปริยาย      
  • ผลของการแตกแยกทางศาสนา ทำให้เกิดสงครามศาสนาขึ้นในยุโรปหลายครั้ง เช่น สงครามศาสนาในเยอรมนี (ค.ศ.1546 - 1555) สงครามศาสนาในประเทศฝรั่งเศส(ค.ศ.1562 - 1589) สงครามสามสิบปี (ค.ศ.1618 - 1648) การเกิดสงครามศาสนาทำให้สถาบันกษัตริย์มีอำนาจเหนือคริสตจักรในที่สุด เพราะสันตะปาปาต้องอาศัยอำนาจของกษัตริย์ที่นับถือคาทอลิกทำการต่อต้านกษัตริย์ที่นับถือโปรเตสแตนต์






ผู้จัดทำ
นางสาวพิชญา   ขันทะบุตร   เลขที่  29
นางสาวชนัญญา   ทาก๋อง   เลขที่  32
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  5.10

แหล่งอ้างอิง
https://writer.dek-d.com/hithistory/story/viewlongc.php?id=1045425&chapter=16
x